วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”


สิ่งทั้งปวง ล้วนแต่ลวง ให้ยึดมั่น
ได้เท่ากัน ทั้งที่ ดีและชั่ว
ที่ว่าดี ยึดไว้เพราะ " ได้ " แก่ตัว
ที่ว่าชั่ว ยึดเพราะกลัว ตัว"เสีย"อะไร

ก่อให้เกิด หนักใจ ได้เท่ากัน
ไม่ว่าจะ ยึดมัน นั้นแง่ไหน
ดีดั่งหมาย เดี๋ยวก็กลาย เป็นจืดไป
สิ่งใดใด ก็ต้องเป็น เช่นว่ามา

ถ้าอย่าหลง ยึดมั่น ทั้งชั่ว-ดี
จะวางจิต ถูกวิธี ทั้งหลัง-หน้า
ชั่วและดี กลายเป็นเครื่อง เรืองปัญญา
ไม่เป็นบ้า เพราะชั่ว-ดี นี่! นิพพานฯ

ที่มา: http://www.facebook.com/note.php?note_id=203732986853

ทัศนะคติผู้เขียน : ทุกสิ่งอยากเป็นสิ่งสมมุติ อุปโหลก หลอกตัวเองไปวันๆ ว่านั้นของเรา ว่านี้ของเรา ตำแหน่งนี้ของเรา สิ่งนี้ของเราเพราะเราทำ ทำสิ่งนี้ต้องได้สิ่งนี้ ....... เป็นวิถีทางที่สุดแสนจะน่าอดสูยิ่ง หากแต่กลไก หรือวงจร วัฏจักร นั้นเป็นไปตามที่ถูกสิ่งที่เรียก ว่า "ของกู" ครอบงำแล้ว วิปริตทางวงจรของวิถีชีวิตกำลังเริ่มขึ้นนะบัดนั้นเช่นกัน ...... ลองออกจากวงล้อนั้นแล้วออกมามองอยู่ข้างนอกสิครับ แล้วจะพบเห็นอะไรอีกมากมาก....

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

สติปัญญา3 ฐาน (โดย ดร.วรภัทร ภู่เจริญ)


เนื้อหาบางส่วนที่สำคัญ
คนโบราณให้ความสำคัญกับปัญญาฐานกายเยอะมาก แม้แต่การเรียนรู้ก็ใช้เพื่อการ “บ่มเพาะ” ปัญญาฐานกาย เพราะจะสืบเนื่องต่อไปที่ฐานใจ และฐานคิดในที่สุดแต่ระบบการศึกษายุคอุตสาหกรรม เน้นฐานกายบนความไม่รู้ฐานใจ และฐานกาย ผลออกมาคือ เป็นปัญญาเฉโกเสียส่วนมาก เป็นฐานคิดที่วิปริต เป็นฐานคิดที่จิตไม่ปกติ

คำว่า เฉโก นี้ ท่านพระอาจารย์พุทธทาส แปลไม่ตรงกับพจนานุกรมนะครับ ในพจนานุกรมแปลว่า เป็นความคิดแบบโกงๆ เจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกง เฉไปเฉมา ฯลฯ

ซึ่งที่จริงแล้ว “เฉโก” เป็นความคิดตอนจิตไม่ว่าง คิดตอนจิตเกิดอาการ เป็นได้ทั้งโลภโกรธ หลง เป็นแบบติดดี หรือ “เมาบุญ” ก็ได้เป็นแบบไม่โกงก็ได้ เป็นความคิดที่เจืออคติเจือลำเอียง ไม่มีความเป็นกลางของจิตในความคิดนั้นๆ เป็นความคิดแบบฟุ้งซ่าน กังวล แค้นเบื่อหน่าย เซ็ง ฯลฯ ก็ได้ ไม่ใช่แค่เจ้าเล่ห์โกง แต่อย่างเดียว

พ ว ก เ ร า โ ด น ร ะ บ บ ก า ร ศึก ษ า ยุคอุตสาหกรรมหลอกเสียโง่มานาน เป็นกบในกะลาเชื่อตนเองจนโง่ ขาดคุรุหรือบัณฑิตชี้ทางยิ่งเรียนยิ่งมีพันธนาการ ยิ่งตกเป็นทาสทางวัตถุ ยิ่งเรียนยิ่งเต็มไปด้วยกิเลส หลงโง่ โดนโฆษณา โดนสื่อเฉโกหลอกได้เรื่อยๆ ยิ่งเรียนยิ่งไม่หลุดพ้น ยิ่งเรียนยิ่งทำลายล้างรู้ลึก โง่กว้าง ฉลาดทางโลก โง่ทางธรรมยิ่งแก่ ยิ่งไม่น่ารัก ยิ่งตำแหน่งสูง ยิ่งขาดเมตตาอารมณ์ดี แต่เข้าข้างกิเลส (พวกขี้เมา พวกบ้ากาม) ฯลฯถ้ามีโอกาส ก็อย่าลืมหาครูบาอาจารย์ถอยไปฝึกฐานกาย เดินจงกรม ทำสมาธิ วิปัสสนาบ้างนะ


>> ทัศนะผู้เขียน ; ข้าพเจ้าได้คัดลอกเนื้อหาบางตอนมาจาก Soft Side Management (ตอนที่ 5) :สติปัญญา3
ฐาน โดย ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ* http://managerroom.com ต้องการให้เห็นมุมมอง และแนวคิดอีกด้านหนึ่งที่เป็ีนจริงตามแนวคิดของ ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ ซึ่งผู้เขียนขอขอบคุุณสำหรับสิ่งดีๆๆ สำหรับเนื้อหาทั้งหมดที่ได้แสดงในส่วนนี้ ขอบคุณครับ.....


วิสูตร อาสนวิจิตร
iamvisut@gmail.com

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด <โดย ว.วชิรเมธี>

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี......
ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลงหมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริงคิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝันฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนักเพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบกิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่าควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใครหรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชังแต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำเอา เวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่าชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำนอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่าเราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยังคนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเองถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขาจิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่าบางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้นเขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลยเราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสียวันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลยลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่าคิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอกเราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้วมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้างความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลยมุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่าวิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่นเพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแหยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใดสภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้นวิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือการดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะหรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุดอย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขาแต่จงย้ายตัวเอง ''ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?
>>โดย ว.วชิรเมธี

ที่มา ; http://arunwong.blog.mthai.com/2010/08/27/public-1

วิสูตร อาสนวิจิตร
iamvisut@gmail.com

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

วาง..แล้วจะ..ว่าง



ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

คำสอน พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ



...ยึดมั่นถือมั่นไปกันทำไม มองขึ้นไปข้างบนสิครับ มีดวงตาที่กำลังเฝ้ามองดูคุณอยู่
เชื่อเถอะ ทำดี แล้วย่อมมีคนเห็นแน่นอน
เชื่อเถอะ ทำชั่ว แล้วย่อมมีคนเห็นแน่นอน
กรรม ปาบ บุญ คุณ โทษ มีอยู่จริง ในโลกนี้

สมการสมมุติสมดุลของ บุญ ปาบ
กระทำ = > ผลลัพธ์

วิสูตร อาสนวิจิตร
iamvisut@gmail.com